ตอนนี้กระแสของ เอดินสัน คาวานี่ นักเตะชาวอุรุกวัย กำลังมาเลยกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเขาก็ไม่ใช่นักเตะทีมชาติอุรุกวัยคนแรกๆที่มาฉายแสงใน พรีเมียร์ลีก ได้สกู๊ปนี้จึงขอนำเสนอบรรดานักเตะจากประเทศลาตินอเมริกาว่าใครคือดาวซัลโวสูงสุดของลีกผู้ดีในตอนนี้
6 นักเตะชาวอุรุกวัย ยิงประตูมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก
วอลเตอร์ ปันเดียนี่
สโมสร : เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้
ยิงได้ : 6 ประตู
ลงสนาม : 31 นัด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหัวหอกชื่อก้องโลกอย่าง ปันเดียนี่ จะย้ายมาอยู่กับ เบอร์มิ่งแฮม ช่วงตลาดหน้าหนาวปี 2005 เพราะก่อนหน้า ปันเดียนี่ นี่แหละคือแกนหลักแกนสำคัญที่ทำให้ เดปอร์ติโว ลา กอรุนญ่า กับ เรอัล มายอร์ก้า คว้าแชมป์ โกปา เดล เรย์ ได้สำเร็จ
การเข้ามาเล่นใน พรีเมียร์ลีก ในตอนแรกเขาสามารถสร้างอิมแพคได้พอสมควรด้วยการยิงไปทั้งหมด 4 ประตูจากการลงสนามทั้งหมด 14 นัดแต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ สตีฟ บรูซ ตัดสินใจเซ็นมาแบบถาวรในฤดูกาลถัดมา
ทว่าด้วยปัญหาในเรื่องของภาษาที่ ปันเดียนี่ พูดอังกฤษไม่ได้ฤดูกาล 2005-06 กลายเป็นฝันร้ายของเขาเพราะตลอด 17 นัดกับ “ลูกโลก” เขายิงได้เพียงแค่ 2 ประตูซึ่งหลังจากนั้น ปันเดียนี่ ก็ย้ายกลับไปสเปนในที่สุด
อเบล เอร์นันเดซ
สโมสร : ฮัลล์ ซิตี้
ยิงได้ : 8 ประตู
ลงสนาม : 49 นัด
เอร์นันเดซ สร้างชื่อของตัวเองขึ้นมากับ ปาแลร์โม่ ทำให้ทีมน้องใหม่อย่าง ฮัลล์ ซิตี้ ที่เพิ่งเลื่อนชั้นมาโลดแล่นใน พรีเมียร์ลีก คว้าตัวมาหลังจากที่ดาวยิงรายนี้กระหน่ำใน เซเรีย บี ได้ถึง 14 ประตูจาก 28 นัด
แต่ระดับของ เซเรีย บี กับ พรีเมียร์ลีก ก็แตกต่างกันเกินไปเพราะฤดูกาลแรกของเขากับ ฮัลล์ ในพรีเมียร์ลีก เอร์นันเดซ ยิงได้แค่ 4 ประตูเท่านั้นแถมทีมก็ร่วงตกชั้นอีกต่างหาก
ทว่า เอร์นันเดซ นี่แหละคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ ฮัลล์ เลื่อนชั้นขึ้นมาทันทีด้วยสการยิงคนเดียว 20 ประตูจากการลงสนาม 39 นัดใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ทว่าพอเล่นใน พรีเมียร์ลีก 2016-17 ก็อีหรอบเดิมด้วยการที่เขายิงได้อีกแค่ 4 ประตูและทีมก็ตกชั้นไปอีกรอบกระทั่งสุดท้ายเจ้าตัวก็ย้ายออกไปอยู่กับ ซีเอสเคเอ มอสโกว์
กัสตัน รามิเรซ
สโมสร : เซาธ์แฮมป์ตัน, ฮัลล์ ซิตี้, มิดเดิ้ลสโบรห์
ยิงได้ : 9 ประตู
ลงสนามทั้งหมด : 94 นัด
จอมทัพทีมชาติอุรุกวัยถูกทาง เซาธ์แฮมป์ตัน ดึงตัวเข้ามาด้วยสถิติสโมสรในขณะนั้นที่ 12 ล้านปอนด์เมื่อปี 2012 และก็ทำผลงานได้น่าประทับใจอยู่เหมือนกันกับการยิงได้ 5 ประตูจากการลงสนาม 25 นัด
กระทั่งฤดูกาลถัดมา รามิเรซ ก็มีปัญหาบาดเจ็บข้อเท้าจนฟอร์มหลุดร่วงไปแบบน่าใจหายและทำเพิ่มได้ 1 ประตูเท่านั้ซึ่งก็กลายเป็นว่า “นักบุญ” ปล่อยให้ ฮัลล์ ซิตี้ (1 ประตู) ยืมตัวใช้งานถัดมาก็ มิดเดิ่ลสโบรห์ (2 ประตู) แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามตอนนี้ รามิเรซ ก็กำลังโดดเด่นโลดแล่นในเวที กัลโช เซเรีย อา กับ ซามพ์โดเรีย ด้วยการเป็นตัวหลักพร้อมกับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ เคลาดิโอ รานิเอรี่
ดีเอโก้ ฟอร์ลัน
สโมสร : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ยิงได้ : 10 ประตู
ลงสนาม : 63 นัด
หนึ่งในนักเตะที่เคยโดนด่ามากที่สุดคนหนึ่งของ “ปีศาจแดง” เพราะด้วยความสากและการทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลยของ ฟอร์ลัน นอกจากยิงใส่ ลิเวอร์พูล ได้สองประตูนั่นแหละ
ฟอร์ลัน ใช้เวลานานถึง 23 นัดกว่าจะเบิกสกอร์แรกของเขาให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ซึ่ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็พยายามจะให้โอกาสเขาอย่างเต็มที่แล้วแต่สุดท้ายก็ไปใน พรีเมียร์ลีก ไม่รอด
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ลัน ก็ผงาดได้แบบไร้ที่ติกับ บียาร์เรอัล ด้วยการคว้ารองเท้าทองคำหรือดาวยิงสูงสุดของยุโรปเช่นเดียวกับ แอตเลติโก้ มาดริด ที่เขาก็คว้ารองเท้าทองคำมาได้พร้อมกับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับ “ตราหมี” เลยทีเดียว
กุสตาโว่ โปเยต์
สโมสร : เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ยิงได้ : 54 ประตู
ลงสนาม : 187 นัด
หากจะพูดถึงมิดฟิลด์ที่ยิงประตูแบบถล่มทลายก่อน แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในฐานะนักฟุตบอลของเชลซีล่ะก็ชื่อของ โปเยต์ ยืนหนึ่งแน่นอนในเรื่องนี้เพราะตลอดการค้าแข้งในช่วงปี 1997-2001 กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” โปเยต์ ยิงได้ถึง 36 ประตูจากการลงสนาม 105 นัด
อีกทั้ง โปเยต์ ยังเคยเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรทั้งๆที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ด้วยในฤดูกาล 1999-2000 ด้วยสถิติ 18 ประตูใน 1 ฤดูกาล
หลังจากนั้นในช่วงบั้นปลาย 2001-04 เขาข้ามฟากไปเล่นให้กับ สเปอร์ส และว่ากันตามตรงผลงานของเขาไม่ได้ขี้เหร่อะไรเลยในฐานะจอมทัพกับสถิติ 82 นัดยิงได้ 18 ประตูให้กับ “ไก่เดือยทอง”
หลุยส์ ซัวเรซ
สโมสร : ลิเวอร์พูล
ยิงได้ : 69 ประตู
ลงสนาม : 110 นัด
เมื่อพูดถึงดาวซัลโวทีมชาติอุรุกวัยแล้วแน่นอนว่าชื่อที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ ซัวเรซ ยอดศูนย์หน้าจากค่าย “หงส์แดง” ที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของ ลิเวอร์พูล ก่อนจะย้ายไปโลดแล่นกับ บาร์เซโลน่า
จุดพีกที่สุดของ ซัวเรซ คงเป็นฤดูกาล 2013-14 ที่เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำประจำศึก พรีเมียร์ลีก ได้ด้วยการยิงไป 31 ประตูจากการลงสนาม 33 นัดใน พรีเมียร์ลีก หรือไม่ว่าจะเป็นการเล่นประสานงานกับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ จนได้รับสมยานาม ‘SAS’ อันลือลั่น
สุดท้ายด้วยฟอร์มอันเด็ดสะเด่าเร้าใจ บาร์ซ่า จึงตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 65 ล้านปอนด์คว้า ซัวเรซ ไปโลดแล่นใน ลาลีกา และเขาก็เป็นกุญแจสำคัญที่นำยอดทีมแห่งแคว้นกาตาลันให้ยิ่งใหญ่ผงาดง้ำค้ำยุโรปร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี่ และ เนย์มาร์ นั่นเอง